.. แด่อิสรภาพจากโลกใบนั้นที่มันเสมือนจริง ..
จิระ จิรประวัติ ณ อยุธยา เป็นศิลปินและนักออกแบบ เจ้าของแบรนด์ GUI & CO เขามีศักดิ์เป็นหลานครูโต ม.ล.จิราธร จิรประวัติ ซึ่งเท่าที่เราเคยติดตามเฟซบุ๊กของครอบครัวนี้มา เราเห็นในความแน่นแฟ้นสนิทสนม เห็นความรัก ที่คล้ายว่าสมาชิกทุกช่วงวัยของครอบครัวนี้จะพูดภาษาเดียวกัน
“บ้านเราเหมือน The Addams Family ครับ เป็นบ้านที่ค่อนข้างซับซ้อน นามสกุลเราเป็นราชสกุล แต่เพิ่งมาแตกแถวตอนช่วงพ่อผมนี่ละ ปู่ย่าผมใจดีสุดๆ ผมรักปู่มาก แต่ผมก็ไม่ได้ถึงกับถูกสปอยล์นะ เพราะโชคดีบ้านผมคนเยอะ การที่เราอยู่กับคนเยอะๆ ตลอด มันทำให้เรารู้จักการแบ่งปัน”
ถ้าความโชกโชนในประสบการณ์ชีวิตคือความทรงจำที่สวยงามที่สุดของมนุษย์ ชาตินี้ จิระคงไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์เพราะเรื่องน่าจดจำของเขามันเยอะมาก แต่ก็ต้องบอกว่าที่เขารอดมาได้จนถึงวันนี้ ไม่เสียผู้เสียคนจนหาทางกลับไม่เจอ ก็เพราะพื้นฐานในสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่มันแน่นพอ
“ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อเหมือนลูกศิษย์กับอาจารย์ในหนังจีน พ่อฝึกวิชาให้ไปท่องยุทธจักร”
จิระจัดเป็นเด็กดีของพ่อแม่แต่ไม่ชอบเรียนหนังสือ พ่อของจิระเป็นนักดนตรีฮิปปี้ไว้ผมยาว เคยเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ทำให้จิระโตมาในบ้านที่มีแต่เสียงดนตรีและอาๆ ทุกคนก็มีมุมทำงานศิลปะเป็นของตัวเอง ในวัยเด็ก จิระผูกพันกับตู้เกมมาก จิระว่า ‘ติดเกมสมัยก่อน เพื่อนจะเยอะ เพราะพากันเฮไปเล่นตู้เกมตามห้าง แขนข้างหนึ่งก็หนีบสเก็ตบอร์ดเอาไว้ ต่างกับเด็กติดเกมสมัยนี้ที่เป็นซอมบี้นั่งเฝ้าแต่หน้าจอคอมพ์ ไม่ออกไปไหน อยู่แต่กับตัวเอง’
จิระไม่เคยขาดเพื่อน บ้านของเขาเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยที่ตั้งแต่สมัยมัธยมมาจนเรียนจบปริญญา จะมีเพื่อนๆ ของจิระแวะเวียนมาอาศัยอยู่เป็นสิบ โดยที่พ่อแม่จิระไม่เคยว่า แถมดูแลอีกต่างหาก
“ชีวิตมีแต่เพื่อนครับ ปาร์ตี้ทุกคืน และเพื่อนทุกคนที่อยู่ในแก๊งก็เล่นดนตรีและทำงานศิลปะเป็นเรื่องปกติ จนพอผมมาทำงานตรงนี้แล้ว ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าพวกเรามันแปลก”
ท่องหนังสือคืออะไร จิระไม่เคยรู้จัก ถึงเวลาสอบเอ็นทรานซ์ แม่ก็ต้องเป็นคนลากไปสมัครสอบแถมเลือกคณะให้อีกต่างหาก เพราะถ้าปล่อยจิระเลือกเอง ชาตินี้คงไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแน่ ซึ่งตามสแตนดาร์ดของพ่อแม่ทั่วไป ถ้าลองมีโอกาสได้เป็นคนเลือกคณะให้ลูก ก็คงจะพุ่งใส่หมอหรือไม่ก็วิศวะ แต่แม่จิระดูทรงลูกแล้ว จึงตัดสินใจเลือกคณะออกแบบให้ และปรากฏ จิระผู้ไม่เอาอะไรเลยกับเรื่องเรียนดันสอบติดภาควิชานฤมิตศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณพระ
จิระเข้าไปเรียนที่จุฬาฯ แบบงงๆ ชีวิตช่วงนั้นโฟกัสอยู่สามอย่าง เล่นดนตรี จีบหญิง และเล่นเกม จนพอขึ้นปีสองต้องเลือกสาย เขาก็ไม่เลือกอีก อาจารย์ต้องเป็นคนเลือกให้ไปอยู่ craft design ที่พอถึงเวลาก็ขาดเรียน ติดโปร เป็นช่วงเวลาของการใช้ชีวิตแบบสุดๆ เล่นยาทุกชนิดด้วยวัยอยากทดลอง ปาร์ตี้แหลกลาน ค่ำไหนนอนนั่น ส่วนพ่อแม่ ถึงจะเป็นห่วงลูกชายแต่ก็ไม่ได้พยายามจะมาควบคุมอะไร ทำได้แค่เตือน
“ผมกับพ่อแม่ เราบอกกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมต้องปิด”
ในวันที่เพื่อนๆ รอบตัวเรียนจบปริญญาตรี ออกไปทำงาน มีสังคมใหม่ มีเรื่องใหม่ในชีวิตมานั่งคุยกัน แต่จิระยังคงเป็นคนเดียวที่นั่งเรียนอยู่ในสถานะนักศึกษาชั้นปีห้า มันเป็นช่วงเวลาที่จิระรู้สึกว่าตัวเองโคตรว่าง เขามีเวลาอยู่กับตัวเองต่อวันเยอะมาก มันเหมือนเรือสำราญล่องแม่น้ำที่เคยขนคนมาเต็มลำแต่อยู่ดีๆ ก็ว่างเปล่า ไม่เหลือใครเลย นอกจากเรา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือกำลังจะพาไปออกอ่าวไหน
‘สติ’
สติมนุษย์มักจะมาในวันที่เรายืนอยู่ด้วยคู่เท้าของเราเองจริงๆ
“ต้องบอกว่าผมโตช้าครับ วันที่ต้องนั่งเรียนหนังสืออยู่คนเดียว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเองแล้ว วันนั้นผมไปที่รูปปู่ บอกปู่ว่าผมเข้าใจแล้ว ผมขอโทษที่ทำตัวเละเทะ ด้วยวัยวุฒิของคน ผมควรจะคิดได้ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่นี่ผมเพิ่งมาคิดได้ตอนปีห้า เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผมมีเพื่อนล้อมรอบตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เคยมีเวลาได้อยู่กับตัวเองเลย สิบปีที่ผ่านมาของผม มันเหมือนว่าเราได้ไปต่างจังหวัดกับเพื่อนและไม่เคยได้กลับบ้านอีกเลย เหมือนว่าเราไม่เคยได้อยู่ในโลกของความจริง”
สิ่งแรกที่จิระทำในวันที่เขาเรียกความเป็นผู้เป็นคนของตัวเองกลับมาได้ เขาพาครอบครัวไปกินข้าว และวางแผนที่จะพาไปกินประจำในทุกๆ อาทิตย์ เขาเริ่มใส่ใจทำงานทำการ รับจ็อบในช่วงปีห้า และงานก็เริ่มประดังเข้ามาหาเขาจากคำแนะนำกันปากต่อปาก เอกลักษณ์ในผลงานของจิระมักจะมีความตลกแฝงอยู่อย่างเป็นอัตโนมัติ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่า นั่นเป็นผลมาจากการที่เขาเคยเป็นเกมเมอร์มาตั้งแต่สมัยมัธยม โดยปัจจุบันจิระอายุ 34 ปี เปิดบริษัทรับออกแบบและสร้างสรรค์งานศิลปะมาสิบปีแล้ว งานการของเขาในวันนี้ค่อนข้างมั่นคง เพิ่งแต่งงาน และยังคงเล่นเกมอยู่ ส่วน ‘เทพใจดี’ ประติมากรรมขนาดสูงเท่าระดับเครื่องบินจอดเป็นผลงานของจิระกับเรื่องของการสมมติ
“ผมทำเทพใจดีเพราะผมใจดี ผมไม่ชอบที่เวลาเราจะขออะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเราต้องเอาม้าลายหรือหัวหมูไปให้ท่าน ถ้าผมเป็นเทพ หรือมีโอกาสคิดเทพขึ้นมาสักองค์ ผมก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดว่าผมต้องการน้ำแดงหรือม้าลาย ผมอยากช่วยเหลือคนเพราะมันคือหน้าที่ของผม ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ผมหรอก ผมใจดี”
เรื่อง / ภาพ : พัทริกา ลิปตพัลลภ